วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อนุทินที่ ๒ ตอบคำถามจากบทเรียนที่ได้ศึกษา (แบบฝึกหัด)





ตอบคำถามจากบทเรียนที่ได้ศึกษา



1.ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมาย หากไม่มีจะเป็นอย่างไร
          มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกันอยู่เป็นจำนวนมากที่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต ด้วยความจำเป็นของการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกันและมีกิจกรรมร่วมกันเหล่านี้ รวมทั้งมีการติดต่อสัมพันธ์กันเพื่อแลกเปลี่ยนบางครั้งก็ทำให้เกิด ความขัดแย้งหรือการทะเลาะวิวาท กันระหว่างสมาชิกในสังคมด้วยกันได้ เพราะต่างคนต่างร้อยพันธุ์พ่อพันธุ์แม่ ต่างมีนิสัยใจคอ พฤติกรรม และความคิดเห็นที่แตกต่างกัน  ซึ่งหากสังคมขาดข้อตกลง กฎเกณฑ์ ความเป็นระเบียบ ก็จะส่งผลให้เกิดความไม่สงบวุ่นวายและเสียหายขึ้น นำไปสู่ความล่มสลายของสังคมนั้นในที่สุด ควบคุมความประพฤติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย สร้างกฎเกณฑ์ และกติกาต่าง ๆ ขึ้นใช้บังคับแก่สมาชิกในสังคม เพื่อเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการควบคุมความประพฤติของสมาชิกให้ปฏิบัติอยู่ในกรอบ มีความผิดชอบชั่วดี และเป็นการช่วยให้เกิดความสงบสุขเรียบร้อยในสังคม เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยผู้ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจึงต้องยึดมั่นและเคารพต่อหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้น กฎหมายจึงถือเป็นเครื่องมือในการสร้างความสงบสุขและความเป็นธรรมให้แก่บุคคลในสังคม ให้มีสิทธิและหน้าที่โดยเท่าเทียมกัน โดยกฎหมายจะมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลสังคม ระงับข้อพิพาทและความขัดแย้ง รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการรักษาความเที่ยงธรรมและหลักของศีลธรรมในสังคมให้ดำเนินไปด้วยความสงบสุข

2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมาย และจะเป็นอย่างไร
          ดิฉันคิดว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้หากปราศจากกฎหมาย ที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมความประพฤติ รักษาความเที่ยงธรรม และหลักของศีลธรรมอันดีงาม หากสังคมนั้นขาดกฎหมาย สังคมเหล่านั้นก็จะเกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท ผู้คนต่างละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน และบ้านเมืองก็จะล้าสมัย ขาดการยอมรับจากนานาประเทศ เพราะถือว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ผู้คนสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ผู้ที่มีอิทธิพลก็จะควบคุมคนในสังคม คนอ่อนแอก็จะโดนการเอาเปรียบ เช่น เมื่อ นาย ก.ไม่พอใจใคร เขาจะด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาบ ทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าก็ได้ เพราะไม่มีใครสามารถเอาผิดกับการกระทำของเขาได้ รวมทั้งการจลาจลเผาบ้านเมืองและหากขาดกฎหมายก็ยังส่งผลให้ผู้คนกลายเป็นคนที่ไร้คุณธรรม จิตใจโหดเหี้ย และไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จนในที่สุดก็เกิดความหายนะและล่มสลายของสังคม

3.  ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้    
 ก.  ความหมาย          
          กฎหมาย คือ กฎหมายคือ  คำสั่งหรือ ข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ  เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้นๆ อย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน ในการบริหารประเทศหรือบังคับใช้คนในสังคมเป็นเป็นกรอบที่จะสร้างความสงบสุขและความเรียบร้อยให้แก่คนในสังคม ซึ่งทุกคนจะต้องเคารพและประพฤติปฏิบัติตาม โดยไม่มีข้อยกเว้นและมีการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน

ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย       
1. เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาอธิปไตยที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติหัวหน้าคณะปฏิวัติกษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้เช่นรัฐสภาตราพระราชบัญญัติคณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกาคณะปฏิวัติออกคาสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่างๆถือว่าเป็นกฎหมาย
       2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับอันมิใช่คาวิงวอนประกาศหรือแถลงการณ์อาทิประกาศของกระทรวงศึกษาธิการคาแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมายสาหรับคาสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมายเช่นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.. 2545 พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉิน พ.. 2548 เป็นต้น
     3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาคเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้เช่นกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงินได้การแจ้งคนเกิดภายใน 15 วันแจ้งคนตายภายใน 24 ชั่วโมงยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินเมื่ออายุย่างเข้า 18 ปีเข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจาการเมื่ออายุย่างเข้า 21 ปีเป็นต้น
      4. มีสภาพบังคับซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทาและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้นๆกำหนดหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้และสภาพบังคับในทางอาญาคือโทษที่บุคคลผู้ที่กระทาผิดจะต้องได้รับโทษเช่นรอลงอาญาปรับจาคุกกักขังริมทรัพย์แต่หากเป็นคดีแพ่งผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายหรือชาระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทาหรืองดเว้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เช่นบังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น

ค. ที่มาของกฎหมาย
                1. บทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นกฎหมายลักษณ์อักษรเช่นกฎหมายประมวลรัษฎากรรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกากฎกระทรวงเทศบัญญัติซึงกฎหมายดังกล่าวผู้มีอานาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
                2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนาไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น การชกมวยเป็นกีฬา หากชนตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต ย่อมไม่ผิดฐานทาร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้ ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
                3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทาร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
                4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคาพิพากษา ซึ่งคาพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนาไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนาไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
                5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทาให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

ประเภทของกฎหมาย
🔺 กฎหมายภายใน มีดังนี้
     1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
       1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
       1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
    2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
       2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
       2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
    3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสาบัญญัติ
        3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
        3.2 กฎหมายวิธีสาบัญญัติ
    4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
       4.1 กฎหมายมหาชน
        4.2 กฎหมายเอกชน
🔺 กฎหมายภายนอก
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง 
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา



4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ทุกสังคมหรือทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย เพื่อควบคุมพฤติกรรมและลดความขัดแย้งของมนุษย์ โดยรัฐบาลหรือผู้บริหารจะต้องสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน  ซึ่งควรให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน เพื่อป้องกันสิทธิ  และรู้จักหน้าที่ของตนเองในฐานะที่เป็นพลเมืองที่ดี ส่งผลให้ประเทศนั้นเกิดความเจริญก้าวหน้าและเป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ แต่ถ้าประเทศนั้นไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับใช้ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ก่อให้เกิดความขัดแยง มีการทะเลาะวิวาท ทา ร้ายร่างกาย  สาเหตุมาจาก ความไม่พึงพอใจ มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกัน ถ้ามีการใช้กำลังกันบ่อยเข้าสังคมมนุษย์ จึงไม่อาจดำรงอยู่ได้

5.  สภาพบังคับทางกฎหมาย ท่านมีความเข้าใจว่า อย่างไร จงอธิบาย
สภาพบังคับ คือการดำเนินการลงโทษตามกฎหมายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจำ ไม่กล้ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอีก และรวมไปถึงการบังคับให้กระทำการ งดเว้นกระทำการหรือบังคับให้ส่งมอบทรัพย์สินด้วย 

6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ สภาพบังคับกฎหมายอาญาคือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น ประหารชีวิต  จำคุก  กักขัง ปรับ  และริบทรัพย์ ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ด้านกฎหมายแพ่งนั้นมีสภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การตกเป็นโมฆะการตกเป็นโมฆียะ หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งในคราวเดียวกันก็ได้

7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไรจงอธิบาย
ระบบกฎหมายมี  2  ระบบ
            1.   ระบบซีวิลลอร์   หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ 
                2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้

8.  ประเภทของกฎหมายมีมีกี่ประเภท และหลักการอะไรบ้าง แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง
จงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
     ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
               1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
               2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
               3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก  กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law System) เป็นกฎหมาย   ที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณีหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ
กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ ประมวลกฎหมายอาญา จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร และในทางแพ่ง   คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่าง ๆ ตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่นเอง เช่น ไปดำเนินคดีในศาลหรือเรียกว่า  กฎหมายวิธีพิจารณาความก็ได้  กฎหมายวิธีสบัญญัติ    จะกำหนดระเบียบ ระบบ ขั้นตอนในการใช้ เช่น กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา วิธีการร้องทุกข์ วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา    ความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ประชาชนการบริหารประเทศ รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ด้วยกันเอง เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา คือ เอกชนด้วยกันเอง รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม  จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อคุ้มครอง       ความเสมอภาคมิให้เอาเปรียบต่อกันจนเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นต่อ  


9. ท่านเข้าใจถึงคาว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไรมีการแบ่งอย่างไร
ศักดิ์ของกฎหมาย คือ  เป็นการจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน” จากประเด็นดังกล่าวพอที่จะกล่าวต่อไปได้อีกว่า ในการจัดลำดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกว่า จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไร
                (1) การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญ เป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน
                (2) การให้รัฐสภา เป็นการทุ่นเวลา และทันต่อความต้องการและความจาเป็นของสังคม
                (3) ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายในกฎหมายหลักฉบับนั้น
มีการแบ่งดังนี้ 
 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย                           2.พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3.  พระราชกำหนด                                                        4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
5. พระราชกฤษฎีกา                                                       6. กฎกระทรวง
7. ข้อบัญญัติจังหวัด                                                      8. เทศบัญญัติ
9. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล


10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนณลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
        เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า   
                1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
                3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
                4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ


11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่ากฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
          กฎหมายการศึกษา เป็นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติองรัฐบาลที่เกี่ยวกับการศึกษา เช่น สถาบันหน่วยงาน หรือบุคลากรทางการศึกษา โดยอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ อาทิเช่น อาชีพข้าราชการครู เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมความประพฤติของคนให้อยู่ในกรอบความดีและประพฤติตนเหมาะสม รวมทั้งการกำหนดบทลงโทษ เพื่อไว้ลงโทษผู้ที่กระทำผิดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย

12.  ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
          ดิฉันคิดว่ามีผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง โดยเริ่มจุดเริ่มต้นของการเป็นข้าราชการครูอย่างเต็มตัวแล้ว เราจำเป็นต้องนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายการศึกษาไปใช้ในการสอบบรรจุครูผู้ช่วย แต่สิ่งสำคัญที่ดิฉันเล็งเห็นหากเราไม่ได้เรียนวิชากฎหมายการศึกษานั้นจะส่งผลให้เรามีความตระหนักหรือทราบถึงสิทธิของมนุษย์และความรับผิดชอบของการเป็นพลเมือง การไม่รู้หรืออ้างว่าไม่รู้นั้นเป็นข้อห้ามในการเป็นมนุษย์ ซึ่งการเรียนกฎหมายจะทำให้คุณทราบถึงเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมเราทุกคนต้องมีสิทธิเหล่านี้กำกับอยู่ โดยเป็นการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้นการศึกษาจึงมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติมีความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อไป รัฐจึงต้องลงทุนด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติขึ้นมาทดแทนผู้ใหญ่ที่จะอ่อนกำลังลงในอนาคต ประเทศชาติจึงต้องทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาการศึกษา สำหรับการจัดการศึกษาของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยมุ่งเน้นให้คนในสังคมมีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้คู่คุณธรรม และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาติ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น