ข้อสอบปลายภาควิชากฎหมายการศึกษา
1.
ให้นักศึกษาอธิบายคำว่า ศีลธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย เหมือนหรือ
ต่างกันอย่างไร
ความหมายของศีลธรรม
ศีลธรรม
(Moral)
มีที่มาจากคำว่า ศีลเป็นสิ่งที่ดีงาม ศีลต้องอยู่ที่กายที่วาจา ธรรมอยู่ที่ใจ
เมื่อเรามีกาย มีวาจาที่มีศีลมีธรรมแล้ว ก็เป็นเครื่องนำชีวิตของเราให้ไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้
ดังนั้นศีลธรรมจึงเป็นความประพฤติที่ดีงามทางกายวาจา ความประพฤติที่ดีที่ชอบ ความสุจริตทางกายวาจา
และอาชีวะ หรือธรรมในระดับศีลหรือกรอบปฏิบัติที่ดี
รวมทั้งเป็นหลักความประพฤติที่ดีสำหรับบุคคลพึงปฏิบัติ
ความหมายของจารีตประเพณี
จารีตประเพณี
หรือ กฎศีลธรรม (Mores) คือ
บรรทัดฐานที่กำหนดให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติอย่างเข้มงวด สืบทอดกันมาช้านานและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนหรืองดเว้นไม่กระทำตามจะเป็นความผิดรุนแรง เพราะอาจมีผลทำให้เกิดความเดือดร้อนมาสู่บุคล
ครอบครัว และชุมชนได้ ทั้งนี้มักเกี่ยวข้องกับศีลธรรม บทบัญญัติ หรือกฎหมายที่สังคมให้ความเชื่อถือ
ดังได้ปรากฏเป็นความผิดในลักษณะต่างๆ ดังนี้
ผิดผี คือ การผิดประเพณีของหนุ่มสาวที่มีการล่วงเกินถึงขั้นจับมือถือแขนหรือเสีย
ตัว
ซึ่งตั้งแต่โบราณมาชาวล้านนาถือว่าการกระทำเช่นเป็นความผิดต่อผีปู่ย่าตายายและผีบ้านผีเรือน
การที่ลูกหลานคนใดโดยเฉพาะผู้หญิง หากถูกล่วงเกินแล้วไม่บอกกล่าวแกผู้ใหญ่ให้รับทราบถือเป็นการไม่เคารพยำเกรงต่อผีที่คอยปกป้องดูแลรักษาลูกหลาน
ลูกหลานหรือครอบครัวจะถูกลงโทษ เช่น ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทำให้ได้รับเคราะห์ภัยต่างๆ
เป็นต้น แต่ถ้าหากมีการบอกกล่าวผู้ใหญ่ให้ทราบจะมีการทำพิธีขอขมาผีโดยฝ่ายชายผู้ที่ได้ล่วงละเมิดผีฝ่ายหญิงจะนำธูปเทียน
ดอกไม้ ค่าเสียผี และเครื่องเซ่นไหว้อื่นๆ ตามที่กำหนดทำการขอขมา ถ้าการขอขมานั้นมีการตกลงให้หนุ่มสาวอยู่กินกันฉันสามีภรรยาจะเรียกว่า
"ใส่ผี" แต่ถ้าไม่ตกลงจะเรียกว่า "เสียผี"
ผิดรีตหรือผิดฮีต การผิดจารีต
หมายถึง การกระทำสิ่งที่ผิดแผกไปจากจารีตเดิมที่
เคยปฏิบัติกันในครอบครัวหรือชุมชน
เช่น การเลี้ยงผีเสื้อบ้านหรือผีของหมู่บ้านปกติจะประกอบพิธีกันในช่วงสงกรานต์
แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาทำในเดือนอื่นถือเป็นการผิดรีต
หรือเครื่องเซ่นไหว้ผีปู่ย่าเคยกำหนดกันไว้ว่า ไก่ 1 ตัว เหล้า 1 ขวด แต่กลับเปลี่ยนเป็นบะหมี่
หรืออาหารแห้งตามสะดวกก็ถือว่าผิดรีตเช่นกันเป็นต้น
การผิดรีตนี้ถ้าเป็นการปฏิบัติต่อผีก็อาจทำให้ผีปู่ย่า ผีบ้านผีเมืองไม่พอใจ
ทำให้เหตุเภทภัยต่างๆ ขึ้นกับบุคคลหรือบ้านเมืองได้
ผิดครู คือ การไม่เคารพครูบาอาจารย์
ซึ่งชาวล้านาแต่เดิมมานั้นไม่ว่าจะศึกษาเล่า
เรียนวิชาใดๆ
จะมีการขึ้นครูหรือไหว้ครูก่อน และเมื่อได้วิชาติดตัวนำไปใช้ประโยชน์แล้ว
ถือว่าควรมีการบูชาครูสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนที่จะนำวิชาไปใช้ก็จะทำพิธีไหว้ครูก่อน
ดังนั้นที่บ้านเรือนคนสมัยก่อนจะมีการทำหิ้งบูชาไว้
หากผู้ใดไม่มีความเคารพครูบาอาจารย์ นอกจากจะเป็นผู้อกกตัญญูแล้ว
ผีครูอาจทำให้ได้รับความเจ็บป่วย เสียสติ หรือไม่มีความเจริญในชีวิต
ผิดกฎ คือ การกระทำผิดกฎระเบียบที่ชุมชนหรือบ้านเมืองวางไว้
เช่น กฎของ
สมาชิกผู้ใช้น้ำในเหมืองฝ่ายเดียวกันจะต้องไปร่วมกันซ่อมแซมเหมืองฝายทุกคน
การใช้น้ำจากเหมืองฝายจะต้องเป็นไปตามกฎ หากมีผู้หนึ่ง ผู้ใดไม่กระทำหรือละเมิดกฎจะถือเป็นความผิด
จะต้องมีการลงโทษตามกฎเช่นกัน ผิดอาชญา คือการฝ่าฝืนกฎหมายของบ้านเมือง
ในแผ่นดินล้านนาได้มีกฎหมายที่ยึดถือกันแต่เดิมมาชัดเจน
บัญญัติมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ามังรายปฐมกษัตริย์แห่งเชียงใหม่เรียกว่า
กฎหมายมังรายศาสตร์ ซึ่งมีการบัญญัติตัดสินลงโทษผู้ที่กระทำผิดด้านต่างๆ เช่น
การลักขโมยวัวควายสัตว์เลี้ยง การทำร้ายผู้อื่นการล่วงละเมิดประเวณีระหว่างชายหญิง
การทะเลาะขัดแย้งระหว่างบุคคล เป็นต้น
นอกจากนี้จารีตประเพณีที่จะนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
4 นั้น ต้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ต้องเป็นจารีตประเพณีที่เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของคนในสังคม
2. จารีตประเพณีนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง
หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรือศีลธรรมอันดีทั้งหลายของคนในสังคม
3. จารีตประเพณีนั้นต้องเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
ซึ่งความหมายของจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
หมายถึงจารีตประเพณีของประเทศไทยเรานั่นเอง
4. จารีตประเพณีนั้นต้องมีเหตุผลและความเป็นธรรม
ตัวอย่างจารีตประเพณีไทย
ได้แก่
o การแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
โดยลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อท่านแก่เฒ่า
ถ้าไม่เลี้ยงดูถือว่าเนรคุณหรืออกตัญญูต่อพ่อแม่
o การเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า
o ห้ามพ่อแต่งงานกับลูกสาว
หรือห้ามแต่งงานกับคนที่มีสายเลือดเดียวกัน
ความหมายของกฎหมาย
กฎหมาย
คือ กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับมนุษย์ในสังคม เพื่อความสงบเรียบร้อย
หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามย่อมได้รับโทษ และในอีกทางหนึ่งกฎหมายก็ยังเป็นสัญลักษณ์
และเป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่งความยุติธรรมอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับต่อการกระทำของมนุษย์ไม่ได้มีแค่กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีจารีตประเพณี ศีลธรรม
และศาสนามาคอยช่วยกำกับการกระทำของมนุษย์ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและดีงามอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้กฎหมายถือว่าเป็นระเบียบ ข้อบังคับ
บทบัญญัติซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐหรือประเทศ ได้กำหนดมาเพื่อใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมืองหรือบังคับความประพฤติของ
ประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นให้ปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม
หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย
ที่มาของกฎหมาย
1.
ศีลธรรม คือ กฎเกณฑ์ของความประพฤติ แต่อย่างไรก็ความหมายของศีลธรรมของแต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน
แม้อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็จะหมายถึง
ความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่างๆที่ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบสุข
ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน
เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้มากที่สุดนั่นเอง
2.จารีตประเพณี คือ แบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน
แต่ละสังคมก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไปตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ
ฯลฯ เช่นกฎหมายของประเทศไทยในเรื่องของการหมั้น การแบ่งมรดก ฯลฯ
ศีลธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ศีลธรรม
VS
กฎหมาย
กฎหมายกับศีลธรรมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะกฎหมายเป็นแบบแผนหรือกฎเกณฑ์กำหนดความประพฤติของมนุษย์
ซึ่งเป็นเรื่องของการกระทำภายนอกเท่านั้น ในขณะที่ศีลธรรมเป็นเรื่องของจิตใจ
เป็นเรื่องความมีจิตสำนึกในความเป็นมนุษย์และตัวศีลธรรมนี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดการแสดงออก
ซึ่งพฤติกรรมภายนอกได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้
ศีลธรรมยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ว่าจะมีแบบแผนหรือโครงสร้างอย่างไร
คงจะมีแต่เพียงความรู้สึกภายในจิตใจเท่านั้นที่จะเอามาเป็นตัววัดในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ซึ่งตรงกันข้ามกับกฎหมายที่มีความชัดเจนแน่นอนอยู่ในตัวเอง
ในส่วนของบทลงโทษก็เช่นกัน
การละเมิดศีลธรรมย่อมไม่มีบทลงโทษที่เป็นผลร้ายในทางเสรีภาพ หรือในทางทรัพย์สินแต่อย่างใด
จะมีก็แต่การถูกประณามหยาบเหยียดจากบุคคลต่างๆในสังคมเท่านั้น เช่น การคิดปองร้ายผู้อื่นอยู่ในใจ
กฎหมายไม่ถือว่าผิด แต่ทางศีลธรรมว่าเป็นผิดเป็นชั่ว เพราะศีลธรรมมีวัตถุประสงค์มุ่งเอาความสมบูรณ์ของจิตใจ
เน้นมโนสำนึกเป็นหลัก ส่วนกฎหมายนั้นเน้นรักษาความสงบของส่วนรวมเป็นหลัก
ซึ่งบางทีก็ไม่เกี่ยวกับมโนสำนึก
จารีตประเพณี VS กฎหมาย
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างกฎหมายกับจารีตประเพณีก็คือ
เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งกำหนดแบบแผนการกระทำภายนอกของมนุษย์
กฎหมายกับจารีตประเพณีไม่สนใจว่าคุณจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายเพียงใด
กฎหมายและจารีตประเพณีสนใจเพียงแต่ว่า ห้ามกระทำในสิ่งที่กฎหมายหรือจารีตประเพณีเห็นว่าไม่ถูกต้องเท่านั้น
และหากผู้ใดฝ่าฝืนผู้นั้นก็ย่อมต้องถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตามระหว่างกฎหมายกับจารีตประเพณีก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในแง่ของความชัดเจนในการกำหนดกฎเกณฑ์
และวิธีการในการลงโทษผู้ฝ่าฝืน ในเรื่องความชัดเจนนั้นเป็นที่แน่นอนว่ากฎหมายย่อมมีความชัดเจนในการกำหนดแบบแผนความประพฤติของบุคคลมากกว่าจารีตประเพณีอย่างแน่นอน
เนื่องจากกฎหมายจะมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษร จึงทำให้ประชาชนสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งใดสามารถทำได้และสิ่งใดไม่สามารถทำได้
ตรงกันข้ามกับจารีตประเพณีที่มีเพียงแต่การปฏิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น
ไม่มีการกำหนดจารีตประเพณีไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด จึงเป็นการยากที่บุคคลนอกท้องถิ่นจะรู้และเข้าใจได้ว่า
ชุมชนนั้นมีจารีตประเพณีที่ถือเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติไว้อย่างไรบ้าง
ในส่วนของการลงโทษนั้นก็มีความแตกต่างกัน
คือ กฎหมายจะมีบทลงโทษที่ชัดเจนแน่นอนตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ซึ่งส่วนใหญ่บทลงโทษจะเป็นผลร้ายแก่ผู้ฝ่าฝืนในแง่ของเสรีภาพ (ติดคุก) หรือ
ทรัพย์สินเท่านั้น (ชดใช้ค่าเสียหาย) จะมีแค่ความผิดในบางกรณีเท่านั้นที่อาจจะถูกประณามหยามเหยียดจากสังคม
แต่ในส่วนของจารีตประเพณีนั้นแน่นอนว่าขนาดแบบแผนความประพฤติยังไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร
ส่วนบทลงโทษจากการฝ่าฝืนย่อมไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกัน
นอกจากนี้บทลงโทษทางจารีตประเพณีส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีผลร้ายในทางเสรีภาพ หรือทางทรัพย์สินเหมือนกับกฎหมายแต่อย่างใด
จะมีก็แต่การถูกประณามหยามเหยียดและเป็นที่รังเกียจจากคนในท้องถิ่นด้วยกันเอง
และหากเป็นกรณีที่เป็นการฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง
ผู้ฝ่าฝืนก็อาจถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศีลธรรม จารีตประเพณี
หรือกฎหมายจะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญเลยก็คือ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์ในสังคมประพฤติตนหรือกระทำสิ่งต่างๆในทางทีดีที่งาม
เพื่อความสุขกายสบายใจของตัวผู้ปฎิบัติเอง ความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยของบุคคลต่างๆในสังคมเป็นสำคัญ
2. คำว่าศักดิ์ของกฎหมาย คืออะไร มีการจัดอย่างไร โปรดยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญ คำสั่งคณะปฏิวัติ คำสั่ง
คสช. พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ พระบรมราชโองการ
กฎกระทรวง
ศักดิ์ของกฎหมาย คืออะไร
ศักดิ์ของกฎหมาย หรือ ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย เป็นแนวความคิดทางกฎหมายของฝรั่งเศส
ซึ่งกำหนดลำดับชั้นระหว่างกฎหมายประเภทต่างๆ
ซึ่งทำให้ผู้มีอำนาจในการตรากฎหมายที่มีศักดิ์ด้อยกว่าต้องเคารพและไม่สามารถตรากฎหมายที่ละเมิดกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าได้
โดยกฎหมายไทยได้นำเอาหลักดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ เช่น พระราชบัญญัติจะขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้
หรือพระราชบัญญัติจะต้องไม่มีเนื้อหาขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
ดังที่มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้
บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
การจัดลำดับฐานะ
หรือความสูงต่ำของกฎหมาย โดยมีหลักในการตีความว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า คือ
มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะขัด หรือแย้งต่อกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า
หรือมีลำดับชั้นสูงกว่าไม่ได้ ดังนั้นกฎหมายที่มีศักดิ์หรือลำดับชั้นต่ำกว่า หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า
กฎหมายลูก
จะต้องออกหรือตราออกมาให้มีข้อความสอดคล้องกับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า
ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ให้อำนาจกฎหมายลูกไว้
หากบัญญัติออกมามีข้อความขัดแย้งหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายแม่แล้ว
จะมีผลให้กฎหมายลูกที่มีศักดิ์ต่ำกว่าใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้น
ศักดิ์ของกฎหมายจึงหมายถึง ลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมายที่มีความสำคัญสูงกว่า
หรือต่ำกว่ากัน
ศักดิ์ของกฎหมายมีการจัดอย่างไร
1.
การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าหรือตามที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้อำนาจไว้
2.
กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายศักดิ์สูงกว่า
จะออกมาโดยมีเนื้อหาเกินกว่าขอบเขตอำนาจที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้ไว้มิได้
มิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้เลย
3.
หากเนื้อหาของกฎหมายมีความขัดแย้งกัน ต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าบังคับ
ไม่ว่ากฎหมายศักดิ์สูงกว่านั้นจะออกก่อนหรือหลังกฎหมายศักดิ์ต่ำกว่านั้น
ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย
ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย
แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่
1.
รัฐธรรมนูญ
2.
พระราชบัญญัติ
3.
พระราชกำหนด
4.
พระราชกฤษฎีกา
5.
กฎกระทรวง
6.
เทศบัญญัติ หรือบัญญัติท้อง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่น
ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา
7.
ประกาศคำสั่ง
1.
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่กำหนดรูปแบบของการปกครองและระเบียบบริหารประเทศ
ตลอดจน
สิทธิหน้าที่ของประชาชนพลเมืองในประเทศนั้นรัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงสุด
เป็นกฎหมายที่สำคัญกว่ากฎหมายฉบับใดทั้งสิ้นและเป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันแก่ประชาชน
จะมีกฎหมายฉบับใดออกมาขัดแย้งรัฐธรรมนูญฯ ไม่ได้
หากมีกฎหมายฉบับใดเรื่องใดออกมาขัดกับรัฐธรรมนูญฯ
กฎหมายฉบับนั้นย่อมไม่มีผลใช้บังคับ
เนื่องจากขัดกับกฎหมายแม่บทที่ยึดถือเป็นหลักในการปกครองบริหารประเทศ
กฎหมายฉบับอื่นๆ ที่ออกมาย่อมต้องสนองรับหลักการและนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540
2.
พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ
ตามที่บัญญัติเป็นขั้นตอนไว้ใน
รัฐธรรมนูญ
โดยความเห็นขอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งปวงและพระมหากษัตริย์ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับเป็นกฎหมาย
จึงเป็นกฎหมายที่ออกตามปกติธรรมดา
โดยความเห็นชอบของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดังที่กล่าวกันว่า
พระราชบัญญัติคือกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา
ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายโดยทั่วไปนั้น
โดยวิธีปกติธรรมดาจะออกในรูปพระราชบัญญัติเสมอ
แต่ถ้าหากกฎหมายฉบับใดมีลักษณะครอบคลุมเรื่องที่เกี่ยวพันกันหลายเรื่องก็อาจจะออกในรูปประมวลกฎหมายได้
เช่น ประมวลกฎหมายอาญาประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลกฎหมายรัฐฎากร เป็นต้น
แต่ประมวลกฎหมายเหล่านี้เมื่อร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องมีพระราชบัญญัติ บัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายฉบับนั้นๆ
อีกทีหนึ่ง ตัวอย่างพระราชบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560
3.
พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
และ
ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษ
เช่น มีความจำเป็นรีบด่วน ในอันที่จะรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง
หรือรักษาผลประโยชน์ของประเทศจึงไม่อาจรอให้ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายมาตาม วิธีปกติได้ทันการณ์พระราชกำหนดมีศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ
แต่เมื่อตราขึ้นใช้แล้วจะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาภายในระยะเวลาอันสั้น
(ตามที่รัฐธรรมนูญฯ จะกำหนดไว้ เช่น สอง หรือสามวัน)
ถ้ารัฐสภาอนุมัติพระราชกำหนดก็กลายสภาพเป็นพระราชบัญญัติ แต่ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติพระราชกำหนด
พระราชกำหนดนั้นก็ตกไปหรือสิ้นผลบังคับ การต่าง ๆ
ที่เป็นไประหว่างที่มีพระราชกำหนดก็ไม่ถูกกระทบกระเทือนเพราะเหตุที่พระราช
กำหนดต้องตกไปเช่นนั้น เช่น พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.
2548
และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
พ.ศ. 2552
4.
พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี
เป็น
กฎหมายที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย
เช่น พระราชบัญญัติฉบับใดฉบับหนึ่ง หรือโดยที่พระมหากษัตริย์
ทรงใช้อำนาจตราขึ้นเป็นพิเศษ โดยไม่ขัดต่อ กฎหมาย
พระราชกฤษฎีกาจึงมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ
พระราชกำหนดและประกาศพระบรมราชโองการฯ และจะขัดกับกฎหมายใดที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้
โดยปกติพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดสืบเนื่องมาจากความในพระ
ราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดจึงเป็นการประหยัดเวลาที่รัฐสภาไม่ต้องพิจารณาใน
รายละเอียดคงพิจารณาแต่เพียงหลักการและนโยบายที่จะต้องบัญญัติในกฎหมายหลัก
แล้วจึงให้อำนาจมาออกพระราชกฤษฎีกาภายหลัง
ซึ่งเป็นการสะดวกที่ฝ่ายบริหารจะมากำหนดรายละเอียดในทางปฏิบัติเองและยัง
เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะสมแก่เหตุการณ์ได้ง่าย
เพราะฝ่ายบริหารสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนนิติบัญญัติดังเช่นการ
ออกพระราชบัญญัติ อนึ่ง มีพระราชกฤษฎีกาบางประเภทที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
เช่น พระราชกฤษฎีกาเปิดหรือปิดสมัยประชุมสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภา
พระราชกฤษฎีกาเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจ
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาข้างต้น
5.
กฎกระทรวง คือ กฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ
หรือพระราชกำหนดเป็นผู้ออก
เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหลักในเรื่อง
นั้น ๆ และโดยปกติกฎหมายหลักจะระบุให้อำนาจในการออกกฎกระทรวงในแต่ละกรณีไว้
กฎกระทรวงเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา
แต่แตกต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่า ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากก็จะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา
แต่แตกต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่า
ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากก็จะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ถ้าสำคัญรองลงมาก็ออกเป็นกฎกระทรวง
เนื่องจากกฎกระทรวงเป็นกฎหมายที่ออกตามกฎหมายแม่บทจึงไม่อาจจะขัดกับกฎหมาย
ที่เป็นแม่บทนั้นเอง และกฎหมายอื่นๆ ที่มีศักดิ์สูงกว่าได้นอกจากฎกระทรวง
หากจะกำหนดกฎเกณฑ์ในทางปฏิบัติ ก็อาจจะออกระเบียบ
ข้อบังคับหรือประกาศเพื่อความสะดวกในการบริหารงานได้อีกด้วย เช่น กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักเลขาธิการคณะ
รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2559
6.
เทศบัญญัติ บัญญัติท้อง ข้อบัญญัติท้องถิ่น
หรือข้อบังคับสุขาภิบาล ได้แก่ ข้อบัญญัติ
กรุงเทพมหานคร
และข้อบัญญัติเมืองพัทยา ต่างเป็นกฎหมายที่ได้รับอำนาจจากพระราชบัญญัติเทศบาล
พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498
และพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 ตามลำดับ
องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายเหล่านี้ คือ เทศบาล
องค์การบริหารส่วนจังหวัดและสุขาภิบาล ซึ่งเป็นองค์กรที่ปกครองตนเอง
ต่างก็มีอำนาจตามกฎหมายแต่ละฉบับที่จะออกกฎหมายเพื่อบริหารงานตามอำนาจ
หน้าที่ขององค์กรที่มีอยู่ในกฎหมาย แต่การออกกฎหมายระดับนี้ย่อมจะขัดต่อกฎหมายในระดับต่าง
ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้เฉพาะในท้องถิ่นนั้น ๆ
ต่างกับกฎหมายอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น
ล้วนแต่เป็นกฎหมายซึ่งมีผลใช้บังคับได้ทั่วราชอาณาจักร เช่น เทศบัญญัติเทศบาลเมืองศรีสะเกษ เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง
ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท
ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ.2551
7.
ประกาศคำสั่ง เป็นกฎหมายเฉพาะกิจ
เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศคณะปฎิวัติ คำสั่ง
หน่วยงานราชการ
เป็นต้น เช่น คณะปฏิวัติออกรัฐธรรมนูญการปกครอง ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และคำสั่งหัวหน้า
คสช. ที่ 16/2560 เรื่อง การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น
3.
แชร์กันสนั่น ครูโหดทุบหลังเด็กซ้ำ เหตุอ่านหนังสือไม่ได้ ตามรายงานระบุว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กวดวิชา เตรียมทหาร" ได้แชร์ภาพและข้อความที่เกิดขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่ง
ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นสภาพแผ่นหลังของเด็กที่มีรอยแดงช้ำ
โดยเจ้าของภาพได้โพสต์ไว้ว่า "วันนี้...ลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ชั้น ป.1 ถูกครูที่โรงเรียนตีหลังมา
สภาพแย่มาก..(เหตุผลเพราะอ่านหนังสือไม่ค่อยได้) ซึ่งคนเป็นแม่อย่างเรา
เห็นแล้วรับไม่ได้เลย มันเจ็บปวดมาก...มากจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
น้ำตาแห่งความเสียใจมันไหลไม่หยุด ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเจ็บแทนลูกซะเอง
พาลูกไปหาหมอ หมอบอกว่า แผลที่ร่างกายเด็กรักษาหายได้
แต่แผลที่จิตใจเด็กที่ถูกทำร้าย โดนครูทำแบบนี้ มันยากที่จะหาย
บาดแผลนี้มันจะติดที่..หัวใจ..ของน้องตลอดไป" จากข้อความดังกล่าวในฐานะนักศึกษาเรียนวิชากฎหมายการศึกษาคิดอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ซึ่งทุกคนจะต้องไปเป็นครูในอนาคตอันใกล้นี้ ให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นปรากฏการดังกล่าวนี้
เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมหรือการเสพติดสื่อต่างๆมากจนเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อการประพฤติปฏิบัติของครู ทำให้คุณธรรมของครูตกต่ำลง เพราะอาชีพครูถือว่าเป็นบัณฑิตหรือผู้รู้ ครูจึงกลายเป็นบุคคลที่สังคมคาดหวังว่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์และสังคมและเป็นที่คาดหวังว่าจะมีคุณธรรมอันจะสามารถยกย่องได้ว่าเป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชาหรือเป็นปูชนียบุคคล ซึ่งครูควรเป็นคนดีมีศีลธรรม ถ้าครูที่มีปัญหาเหล่านั้นเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หรือแพร่ในสังคมสื่อออนไลน์ คนทุกคนก็จะถูกกระทบกระเทือนไปด้วย เหมือนดังสำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า
ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง เพราะสังคมพิจารณาและเห็นว่าครูเป็นผู้ทำผิดไม่ได้
ครูขาดคุณธรรมก็ไม่ได้เช่นกัน
เพราะครูเป็นบุคคลที่สังคมต่างให้ความไว้วางใจและให้การยกย่องนับถือ การประพฤติตนที่มีปัญหาทั้งกับตัวเองกับลูกศิษย์และกับสังคมย่อมเป็นการทำลายคุณค่าในอาชีพครูและตัวครูเอง
ฉะนั้นครูที่ดีและผู้ที่จะเป็นครูในอนาคตจึงควรศึกษาหลักธรรมในพุทธศาสนาให้เข้าใจ
และนำไปปฏิบัติให้ได้ผลดีต่อตนเอง ต่อลูกศิษย์
และต่อประเทศชาติ
4.
ให้นักศึกษา สวอท.ตัวนักศึกษาว่าเราเป็นอย่างไร
SWOT
ANALYSIS ตัวเอง
S = STRENGTH หมายถึง
จุดแข็ง
W = WEAKNESS หมายถึง
จุดอ่อน
O = OPPORTUNITY หมายถึง
โอกาสในการแก้ไขจุดด้อยของตนเองที่มาจากปัจจัยภายนอก
T = THREAT หมายถึง อุปสรรคในการแก้ไขปัญหาตนเองที่มาจากปัจจัยภายนอก
S
= STRENGTH หมายถึง จุดแข็ง
1.
ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน
มีจุดยืนที่มั่นคง
2.
ไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน
ไม่ยุ่งยากไม่มากเรื่อง
3.
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4.
กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง
ไม่ตื่นตกใจง่าย
5.
รู้จักกาลเทศะ รู้จักการวางตัวเมื่ออยู่กับคนที่มีอายุมากกว่าและรู้จักการเคารพสิทธิผู้อื่น
6.
เป็นคนอารมณ์ดีร่าเริงแจ่มใส
7.
เป็นคนที่มีความกตัญญูต่อบุพการี
8.
ตรงต่อเวลา มีความกระตือรือร้น
และความมานะในทางที่ดี
9.
ขยันในเรื่องการทำงาน
W
= WEAKNESS หมายถึง จุดอ่อน
1.
เป็นคนที่ใจร้อนและคิดมากเกินไป
2.
ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ขี้อาย
จนทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง
O
= OPPORTUNITY หมายถึง
โอกาสในการแก้ไขจุดด้อยของตนเองที่มาจากปัจจัยภายนอก
1.
ได้รับความช่วยเหลือจากทางครอบครัว
2.
ได้เรียนสูงขึ้น
3.
เคยทำงานร่วมกับสังคม
4.
มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่ให้คำแนะนำและปรึกษาได้จุดอ่อน
T
= THREAT หมายถึง อุปสรรคในการแก้ไขปัญหาตนเองที่มาจากปัจจัยภายนอก
1.
เก็บคำพูดของคนอื่นมาคิดมากจนทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจเหมือนมีปมด้อย
2.
การเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ในด้านการมนุษย์สัมพันธ์กับบุคคลอื่น
ที่เรายังไม่รู้จัก
3.
มีทุนทางการศึกษาไม่เพียงพอที่จะเป็นปัจจัยในการพัฒนาตนเองทางการศึกษาให้สูงขึ้นไป
4.
ไม่เก่งเรื่องการออกเสียงโฟเนติค
ซึ่งทำให้เป็นปัญหาในการสอนออกเสียง
5. ให้นักศึกษาวิจารณ์อาจารย์ผู้สอนวิชานี้ในประเด็นการสอนเป็นอย่างไร
บอกเหตุผล มีข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
อาจารย์เป็นคนใจเย็น
เข้าใจนักศึกษา และมีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสม
อาจารย์เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและคอยให้ข้อคิดดีๆในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
อาจารย์มีความรู้ความสามารถที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี
ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ และไม่ตึงเครียด
อาจารย์เป็นคนพูดคุยสนุกสนานและคอยสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้น่าเรียน
อาจารย์ทำให้วิชากฎหมายที่เป็นวิชาที่ยากและเป็นสิ่งที่ดิฉันและใครหลายคนไม่ชอบ
เป็นเรื่องที่ง่ายและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
เพราะอาจารย์เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ด้วยตนเองในการสืบค้นข้อมูลและการเรียนรู้นอกห้องเรียน
อาจารย์คอยสอดแทรกคุณธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครูให้นักศึกษาเป็นประจำ
ข้อเสีย
ไม่มีคะ
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น